3082 จำนวนผู้เข้าชม |
หลายครั้งในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ เรามักจะยึดรสชาติและให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาหรือแหล่งเพาะปลูกมาเป็นอันดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมล็ดกาแฟดอยช้างจากจังหวัดเชียงรายจะมีรสชาติกลมกล่อม เปรี้ยว หวานจากความเป็นผลไม้ เมล็ดกาแฟเอธิโอเปียจากประเทศเอธิโอเปียจะมีกลิ่นหอมคล้ายผลไม้รสเปรี้ยวสดชื่น มีความหวานที่ลงตัวเหมือนกินเลม่อนเคลือบน้ำตาลทรายแดงหรือเมล็ดกาแฟบราซิลจากประเทศบราซิลจะมีรสชาติหวานของความเป็นช็อคโกแลตและมีความครีมมี่นิดๆ ซึ่งแหล่งเพาะปลูกของเมล็ดกาแฟนั้นสำคัญจริง เพราะแต่ละแหล่งเพาะปลูกก็จะให้รสชาติกาแฟที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญไปไม่น้อยกว่าแหล่งเพาะปลูกที่หลายคนมักจะหลงลืมหรือมองข้ามไปก็คือ ระดับการคั่ว เมล็ดกาแฟ ซึ่งขั้นตอนและวิธีการในการคั่วกาแฟแต่ละระดับจะต้องอาศัยระยะเวลาที่แตกต่างกันและต้องอาศัยความชำนาญในการคั่วอย่างมาก เพื่อดึงรสชาติของเมล็ดกาแฟออกมา ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟที่ส่งผลต่อรสชาติที่ชัดเจน ตรงตามความต้องการของผู้ดื่ม นอกจากแหล่งเพาะปลูกแล้วก็คือระดับคั่วกาแฟทั้ง 3 ระดับ กาแฟคั่วอ่อน กาแฟคั่วกลาง และกาแฟคั่วเข้มนั่นเอง ฉะนั้นในวันนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการคั่วกาแฟ พร้อมบอกความแตกต่างของระดับการคั่วและรสชาติเมล็ดกาแฟแต่ละระดับให้คอกาแฟได้รู้กัน
ก่อนจะมาเป็น เมล็ดกาแฟคั่ว ที่เราสามารถชงดื่มได้นั้น เมล็ดกาแฟจะต้องเป็นเมล็ดกาแฟดิบ หรือ Green Coffee มาก่อน ซึ่งเมล็ดกาแฟดิบหรือเมล็ดกาแฟจากธรรมชาติจะไม่ได้มีกลิ่นหรือรสชาติแต่อย่างไร ดังนั้นรสชาติอร่อย และกลิ่นหอมๆ ที่คอกาแฟได้สัมผัสอยู่ในทุกวัน จะต้องถูกนำมาดึงความโดดเด่นและดึงรสชาติของเมล็ดกาแฟโดยผ่านการคั่วเมล็ดกาแฟก่อน ซึ่งในการคั่วเมล็ดกาแฟจะต้องกระทำผ่านความร้อน เพื่อให้เมล็ดกาแฟเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเมล็ด มีน้ำมันระเหยออกมาและมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี โดยเมล็ดกาแฟคั่วแต่ละสายพันธุ์ แต่ละแหล่งที่มาจะมีรสชาติที่แตกต่างกันอย่างไร ระดับการคั่วจะเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมรสชาติ เรียกได้ว่าการคั่วกาแฟเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ของรสชาติกาแฟ และเป็นหัวใจสำคัญของการชงกาแฟและการสร้างสรรค์รสชาติอันมีเสน่ห์ให้กับถ้วยกาแฟถ้วยโปรดอีกด้วย
คนคั่วกาแฟ หรือ Roaster จะแบ่งแยกระดับเมล็ดกาแฟโดยนับจากการ Crack หรือการแตกตัวเมล็ดกาแฟ โดยเมล็ดกาแฟคั่วที่นับได้จากการ Crack ในระดับสากลจะแบ่งแยกออกเป็น 3 ระดับใหญ่ๆ ประกอบไปด้วย กาแฟคั่วอ่อน คั่วกลางและคั่วเข้ม ซึ่งแต่ระดับการคั่วจะมีสีของเมล็ดกาแฟและรสชาติที่ได้แตกต่างกันออกไป ดังนี้
เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจะมีสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางน้ำตาลเข้ม คล้ายกับสีของ cinnamon หรืออบเชย ลักษณะของผิวเมล็ดกาแฟจะมีความแห้ง มีน้ำมันเคลือบเมล็ดน้อยและมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติเปรี้ยว (High Acidity) เพราะผ่านการทำความร้อนไม่นาน นับได้ว่าเป็นเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วที่เร็วที่สุดและนับเป็นระดับการคั่วที่ให้คุณสมบัติดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟได้ดี เพราะนอกจากได้รสชาติที่เปรี้ยวแล้ว เมล็ดกาแฟที่ได้จากการคั่วอ่อนจะมีรสชาติเฉพาะตามลักษณะของเมล็ดกาแฟนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่นมีรสชาติคล้ายกับดอกไม้หรือผลไม้ ซึ่งโดยปกติแล้วเมล็ดกาแฟที่มีลักษณะเฉพาะเหล่านี้จะพบได้จากเมล็ดกาแฟแถบทวีปแอฟริกา อย่างเมล็ดกาแฟเอธิโอเปีย จากประเทศบราซิล อย่างเมล็ดกาแฟบราซิลหรือจากตอนเหนือของประเทศไทย อย่างเมล็ดกาแฟดอยช้าง ซึ่งเมล็ดกาแฟที่มีรสชาติเปรี้ยว มีรสชาติเฉพาะและมีการคั่วกาแฟแบบคั่วอ่อนแบบนี้จะเหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาทำกาแฟดริป (Drip Coffee) หรือเหมาะกับการทำกาแฟร้อนอย่าง Espresso หรือ Americano ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่านิยมอย่างมากในร้านกาแฟสโลบาร์ ที่มีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลาย ซึ่งเมล็ดกาแฟเหล่านั้นก็คือเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนนั่นเอง
เมล็ดกาแฟคั่วกลางจะมีสีน้ำตาลเข้มปานกลาง คือเข้มกว่าคั่วอ่อนแต่ไม่ถึงกับสีดำ ลักษณะของผิวเมล็ดกาแฟจะมีความแห้งแต่มีความมันวาวด้วยในระดับหนึ่ง และเนื่องจากเมล็ดกาแฟคั่วกลางมีการคั่วที่นานกว่าเมล็ดกาแฟคั่วอ่อน เมล็ดกาแฟในระดับการคั่วนี้จึงเกิดกระบวนการ Caramelization ที่เปลี่ยนให้แป้งและโปรตีนในเมล็ดกาแฟกลายเป็นน้ำตาล รสชาติเมล็ดกาแฟที่ได้จึงมีความหวาน ความขม ความเปรี้ยว มีกลิ่นหอมเฉพาะและมีความนุ่มกลมกล่อมกว่าเมล็ดกาแฟคั่วระดับอื่นๆ และนับได้ว่าเป็นเมล็ดกาแฟคั่วที่คงความสมดุลของรสชาติและความเป็นธรรมชาติของเมล็ดกาแฟเอาไว้ได้สูงที่สุด และได้รับความนิยมอย่างมากในร้านกาแฟและเหล่าคอกาแฟในปัจจุบัน เมล็ดกาแฟคั่วระดับกลางสามารถนำมาชงกาแฟและสร้างสรรค์เมนูกาแฟได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟร้อนหรือกาแฟเย็น แต่ในกรณีทำกาแฟร้อนรสชาติที่ได้จะมีความเปรี้ยวน้อยกว่าเมล็ดกาแฟคั่วอ่อน และเมื่อทำกาแฟเย็นรสชาติที่ได้จะไม่เข้มข้นเท่ากับเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม
เมล็ดกาแฟคั่วเข้มจะมีสีน้ำตาลเข้มมากค่อนไปทางดำ ลักษณะของผิวจะมีความมันวาวสูง เพราะตัวเมล็ดกาแฟถูกเคลือบไปด้วยน้ำมันที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติของกาแฟ กลิ่นของเมล็ดกาแฟจะมีกลิ่นเฉพาะคือมีคล้ายกลิ่นไหม้หรือกลิ่นของควัน (Smoky) และเนื่องจากระดับการคั่วแบบคั่วเข้มเป็นระดับการคั่วที่มีขั้นตอนและกระบวนการที่นานที่สุด รสชาติของเมล็ดกาแฟคั่วที่ได้จึงไม่มีรสเปรี้ยวหลงเหลืออยู่แล้ว แต่จะมีรสชาติขมโดดเด่น มีบอดี้แน่นและมีความเป็นช็อกโกแลตและถั่วมากกว่าแทน และนอกจากนั้นเมล็ดกาแฟคั่วระดับนี้ยังมีรสชาติความหวานเพิ่มขึ้นมามากที่สุดด้วย ซึ่งความขม ความหวานแบบเข้มเข้นที่ได้จากเมล็ดกาแฟคั่วเข้มจะเหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาทำเครื่องดื่มเมนูเย็น ที่ต้องการรสชาติเข้มข้นหรือต้องการเนื้อสัมผัสของกาแฟมาก ตัวอย่างเช่นเมนู Espresso หรือเมนูที่ใส่นม เช่น Latte หรือ Cappuchino เพราะนมหรือส่วนผสมอื่นๆ จะไม่กลบรสชาติและกลิ่นของกาแฟในเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม
ติดต่อสอบถาม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Line Official คลิ๊ก >>